การลงทุนกับหุ้นกู้

การลงทุนกับหุ้นกู้

การลงทุนกับหุ้นกู้คืออะไรและการลงทุนกับหุ้นกู้มีความเสี่ยงหรือจะสามารถสร้างรายได้ให้คุณมากแค่ไหน เราลองมาทำความรู้จักกับการลงทุนกับหุ้นกู้ได้ที่นี่เลย

การลงทุนกับหุ้นกู้หากจะอธิบายให้เข้าใจง่ายๆ ก็เหมือนกับคุณนำเงินที่มีอยู่ไปปล่อยกู้ แต่ผู้กู้ในที่นี้จะหมายถึงภาคเอกชน ที่จะมีการปล่อยตราสารหุ้นเพื่อจะนำเงินที่ได้มาใช้ในการลงทุนทำธุรกิจ โดยมีการทำสัญญาว่าจะจ่ายดอกเบี้ยทุก ๆ 6 เดือน หรือ 1 ปี ตลอดระยะเวลาที่ทำการกู้ และจะมีการคืนเงินต้นเมื่อครบกำหนดชำระตามสัญญา

ซึ่งหุ้นกู้เปรียบเสมือนกับตราสารหนี้ชนิดหนึ่งที่ภาคเอกชนออกมาเพื่อใช้ในการหาเงินมาลงทุนในธุรกิจ หุ้นกู้จะมีความแตกต่างจากหุ้นสามัญเนื่องจากผู้ที่ลงทุนในหุ้นกู้จะมีสถานะเป็นเจ้าหนี้แต่สำหรับผู้ที่ลงทุนในหุ้นสามัญจะเปรียบเสมือนเป็นเจ้าของบริษัท

ด้วยเหตุนี้ทำให้หุ้นกู้ถือเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง เนื่องจากการที่ภาคเอกปล่อยตราสารหนี้หุ้นกู้ออกมาใช้เพื่อการลงทุน จึงไม่สามารถรับรองได้ว่าการลงทุนนั้น ๆ จะประสบความสำเร็จหรือไม่ ดังนั้นผู้ที่คิดจะลงทุนในหุ้นกู้ จึงควรที่จะมีการศึกษาหาข้อมูลความน่าเชื่อถือของบริษัทและทีมงานบริหารให้ละเอียดและมั่นใจเสียก่อน

การลงทุนกับหุ้นกู้

แต่ในทางกลับกัน เนื่องจากหุ้นกู้มีอัตราความเสี่ยงสูง จึงทำให้ภาคเอกชนมีการตั้งอัตราดอกเบี้ยที่สูงตามไปด้วยเช่นกัน อีกทั้งเนื่องจากสัญญาของหุ้นกู้ที่จะมีการจ่ายดอกเบี้ยเป็นประจำทุกๆ 6 เดือน หรือ 1 ปี ทำให้การลงทุนในหุ้นกู้ถือเป็นการสร้างรายได้ประจำและมีผลกำไรที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนไม่น้อยเลยทีเดียว

การลงทุนในหุ้นกู้แม้ว่าจะสามารถสร้างรายได้ดอกเบี้ยให้กับนักลงทุนที่ค่อนข้างสูง แต่ด้วยการลงทุนลักษณะนี้มีความเสี่ยงสูงเช่นกัน ดังนั้นนักลงทุนควรมีการกระจายความเสี่ยงด้วยการเลือกลงทุนในหลายๆ ประเภทตามอัตราความน่าเชื่อถือ เพื่อลดความเสี่ยงด้วย

หุ้นกู้ ถือเป็นตราสารหนี้ที่มีอัตราดอกเบี้ยลอยตัว และสามารถมีการซื้อขายเปลี่ยนมือได้โดยไม่ต้องรอให้ครบกำหนด ดังนั้นหากมีการปรับอัตราดอกเบี้ยลดลง นักลงทุนที่ถือสัญญากู้ที่มีอัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่า จะมีการปล่อยขายหุ้นได้ในราคาที่สูงขึ้น แต่หากมีการปรับอัตราดอกเบี้ยให้เพิ่มสูงขึ้น นักลงทุนที่เคยทำสัญญาไว้ก่อนหน้านั้นอาจจะต้องขายหุ้นในราคาที่ขาดทุนได้

นั่นทำให้แม้ว่าการลงทุนในหุ้นกู้ จะมีความเสี่ยงสูง แต่รายได้สูงที่ได้รับจากการลงทุนในหุ้นกู้นี้ ยังคงสามารถสร้างแรงดึงดูดให้กับนักลงทุนที่พร้อมจะเสี่ยงได้มากเช่นกัน

การลงทุนกับเงินฝาก

การลงทุนกับเงินฝาก

ทำอย่างไรให้เงินฝากในธนาคารของคุณกลายเป็นเงินลงทุน

ต้องยอมรับว่าในปัจจุบันการฝากเงินในธนาคารสามารถสร้างดอกเบี้ยให้คุณได้ไม่มาก ด้วยอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่ลดต่ำลง จึงทำให้การฝากเงินในบัญชีออมทรัพย์ ไม่ได้เป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ สำหรับผู้ที่ต้องการให้เงินในบัญชีธนาคารงอกเงยอีกต่อไป

สำหรับผู้ที่มีการจัดการทางการเงินอย่างชาญฉลาดจะมีวิธีการลงทุนกับเงินฝากได้อย่างไรบ้างเราลองมาดูกัน

วิธีง่ายๆ ที่คนทั่วไปคุ้นเคยกันดีน่าจะเป็นการฝากประจำ ที่มีอัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่าการฝากเงินแบบออมทรัพย์ วิธีนี้เหมาะกับผู้ที่ไม่ต้องการที่จะรับความเสี่ยงใดๆ เนื่องจากเงินต้นจะอยู่ครบเท่าเดิม และแน่นอนว่าการฝากเงินในบัญชีประจำ 12 เดือน ก็จะได้รับอัตราดอกเบี้ยน้อยกว่าบัญชีประจำ 24 เดือน 

การลงทุนกับเงินฝาก

การฝากเงินแบบปลอดภาษี เป็นวิธีการลงทุนกับเงินออมสำหรับผู้ที่ต้องการเก็บออมเงินในแต่ละเดือน และไม่ต้องเสียภาษีเงินฝาก ซึ่งการเลือกออมเงินแบบนี้จะได้รับอัตราดอกเบี้ยมากกว่าการเก็บออมไว้ในบัญชีออมทรัพย์ทั่วไป ซึ่งอัตราดอกเบี้ยจะขึ้นอยู่กับแคมเปญของแต่ละธนาคารซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ที่ 2-3% ภายใต้เงื่อนไขที่ว่า 1 คนสามารถเปิดได้เพียง 1 บัญชีเท่านั้น

การซื้อสลากออมสิน เหมาะสำหรับผู้ที่มีเงินก้อน ที่สามารถใช้กับการลงทุนได้ประมาณ 3 ปี การซื้อสลากออมสินนอกจากจะเป็นการฝากเงินที่คุณจะได้รับอัตราดอกเบี้ยในอัตราพิเศษแล้ว สำหรับผู้ที่ดวงดีในการเสี่ยงโชคอาจมีโอกาสถูกสลากและได้รับรางวัลพิเศษด้วย คุณสามารถเลือกซื้อสลากออมสินของทั้งธนาคารออมสิน ธกส. หรือ ธอส. ก็ได้

กองทุนรวมตลาดเงิน ถือเป็นกองทุนที่มีความน่าสนใจมาก เนื่องจากมีความเสี่ยงต่ำ แต่ได้รับอัตราดอกเบี้ยสูงในระยะเวลาอันสั้นเพียง 1 ปี สามารถลงทุนได้ตั้งแต่หลักร้อย และไม่ต้องเสียดอกเบี้ยเหมือนการฝากประจำทั่วไป และสามารถถอนได้ง่ายเช่นเดียวกับบัญชีอแมทรัพย์

การลงทุนเหล่านี้ที่กล่าวมาถือเป็นการลงทุนที่แทบจะไม่มีความเสี่ยงเลย เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการออมเงิน แต่ต้องการที่จะสร้างรายได้จากเงินออม ซึ่งนับว่าเป็นทางเลือกในการออมเงินที่ชาญฉลาดเลยทีเดียว

5 หัวข้อการลงทุนกับอสังหาริมทรัพย์

5 หัวข้อการลงทุนกับอสังหาริมทรัพย์

1) การลงทุนกับอสังหาริมทรัพย์ด้วยวิธีการเก็งกำไร
เมื่อการลงทุนกับอสังหาริมทรัพย์ในปัจจุบันมีหลายวิธี และขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของนักลงทุนที่จะเลือก จึงทำให้การลงทุนแบบเก็งกำไร ถือเป็นการลงทุนกับอสังหาริมทรัพย์อย่างหนึ่ง ที่บรรดาเหล่านักลงทุนรุ่นใหม่ให้ความสนใจ ด้วยวิธีการที่ไม่ยุ่งยาก และไม่ต้องใช้เงินลงทุนมากนัก ด้วยการซื้อใบจองคอนโด แล้วทำการปล่อยขายใบจองในสัดส่วนที่มากกว่าราคาที่ซื้อมา จึงถือเป็นการลงทุนที่สร้างกำไรให้แก่นักลงทุนอย่างดีวิธีหนึ่ง แต่ถึงอย่างไร ในการซื้อมาเพื่อเก็งกำไร ก็มีรูปแบบและวิธีการที่สำคัญเหมือนกัน นั่นก็คือ นักลงทุนจะต้องเรียนรู้เรื่องทำเลที่ตั้งของอสังหาริมทรัพย์นั้นให้ดี ว่าอยู่ในทำเลที่มีศักยภาพ มีการสัญจรหรืออยู่ในเส้นทางที่จะเป็นการเอื้อต่อการสร้างมูลค่าเพิ่มหรือไม่ อีกทั้งโครงการที่สนใจจะลงทุนซื้อใบจองจะต้องเป็นโครงการที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในสังคม และมีความน่าเชื่อถือเพื่อเป็นการการันตีคุณภาพ และความน่าเชื่อถือในอสังหาริมทรัพย์ที่จะขาย และยังมีพื้นฐานความรู้เรื่องการทำกำไร คือ ต้องรู้ช่วงเวลาของราคาขึ้นลง เช่น ในช่วงการขายก่อนการพรีเซล และหลังพรีเซล 6 เดือน หรือ 1ปี, ช่วงในการก่อสร้างโครงการ ช่วงการสร้างโครงการแล้วเสร็จ ช่วงก่อนมีการโอน และช่วงหลังโอน ซึ่งในแต่ละช่วงเวลาล้วนมีผลในการสร้างกำไรทั้งสิ้น และได้ผลในอัตราที่แตกต่างกัน และอีกประการที่สำคัญคือ ต้องคอยติดตามแนวโน้มทางเศรษฐกิจให้ดีเพราะจะมีผลในการตัดสินใจซื้ออสังหาริมทรัพย์ของผู้คนเป็นสำคัญ จึงต้องจับประเด็นกระแสข่าวให้ดี และไม่หลงเชื่อการปั่นข่าวลือต่าง ๆ ด้วยเช่นกัน

 

2) การลงทุนกับอสังหาริมทรัพย์ด้วยวิธีการปล่อยเช่า
การลงทุนเพื่อหากำไรจากอสังหาริมทรัพย์ที่ส่วนใหญ่เป็นที่นิยมของนักลงทุนก็คือ การลงทุนด้วยวิธีการปล่อยเช่าไม่ว่าจะเป็นให้เช่าแบบระยะยาว หรือระยะสั้น เช่น ระยะ 30 ปี ที่ต้องมีการจดทะเบียน, ราย 3 ปี, รายปี, รายเดือน หรือรายวันเองก็ตาม ซึ่งลักษณะนี้ถือว่าเป็นการลงทุนกับอสังหาริมทรัพย์ด้วยวิธีการปล่อยเช่า ที่มีความประสงค์ที่จะได้รับค่าตอบแทนในรูปแบบที่ค่อย ๆ ได้รับกลับคืนมา ไม่ว่าต้นทุน หรือกำไร จึงมักจะเรียกการลงทุนแบบนี้ว่า เสือนอนกิน คือ การรอรับผลกำไรกลับมาหาเจ้าของที่ลงทุนแบบสบาย ๆ แทบจะไม่มีความเสี่ยง และจัดเป็นรายได้อย่างสม่ำเสมอ และนับวันมูลค่าของที่ดิน ที่อยู่อาศัยจะมีแนวโน้มที่มีอัตราราคาที่สูงขึ้นตลอดไม่มีลง ไม่ว่าอสังหาริมทรัพย์นั้นจะเป็น คอนโด บ้าน ที่ดินเปล่า ไม่ว่าจะเป็นอสังหาริมทรัพย์ในรูปแบบใดก็ตาม หากนักลงทุนมีเงินเก็บที่เป็นเงินเย็นมากพอที่จะซื้ออสังหาริมทรัพย์ดังกล่าวมาเพื่อปล่อยเช่า และสิ่งสำคัญสำหรับ การลงทุนกับอสังหาริมทรัพย์ด้วยวิธีการปล่อยเช่า ที่นักลงทุนจะต้องมีก็คือ ทักษะความรู้ในการเลือกซื้อที่ดิน ทำเลของคอนโด บ้าน ที่ดินเปล่า ที่จะสามารถทำการสร้างได้ไม่มีปัญหาจากข้อกฎหมายผังเมือง ข้อกฎหมายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับที่ดินดังกล่าว ว่ามีการกำหนดข้อจำกัดในการสร้าง หรือทำอะไรได้บ้าง และหากต้องการสร้างเพื่อเป็นที่อยู่อาศัย ก็ต้องมีความรู้ในการสร้างสรรค์ในการตกแต่ง ให้โด่ดเด่นดึงดูดให้ลูกค้าสนใจ และรู้จักการบริหารอาคาร รวมทั้งการรับฟังความต้องการต่าง ๆ ของผู้เช่า เพื่อเป็นหนทางในการเพิ่มมูลค่าให้อสังหาริมทรัพย์ได้อีกทางหนึ่งสำหรับการปล่อยเช่า

 

3) การลงทุนกับอสังหาริมทรัพย์ด้วยวิธีการลงทุนกับกองทุนอสังหาริมทรัพย์
อีกทางเลือกหนึ่งของการลงทุนกับอสังหาริมทรัพย์ คือ การลงทุนกับกองทุนอสังหาริมทรัพย์ต่าง ๆ ที่มีการเปิดขายทั่วไป ซึ่งเป็นอีกหนึ่งทางเลือกหนึ่งในการสร้างผลตอบแทนที่ดี โดยไม่ต้องเสียเวลาในการบริหารให้ยุ่งยาก ไม่ต้องกังวลว่าทำเลที่ตั้งนั้น นำมาบริหารจัดการเพื่อทำกำไร ได้หรือไม่ และอยู่ในทำเลที่ดีหรือเปล่า และหากเมื่อสร้างโครงการออกมาแล้วจะมีผู้คนสนใจ และสามารถขายออกหมด และไม่ขาดทุนหรือเปล่า จะคุ้มทุนหรือไม่ ซึ่งปัญหาทั้งหลายเหล่านี้จะไม่มีแน่ ๆ สำหรับการลงทุนกับอสังหาริมทรัพย์ด้วยวิธีการลงทุนในกองทุนอสังหาริมทรัพย์ เพียงแค่นักลงทุนที่สนใจมีเงินเก็บ หรือเงินสำหรับการลงทุนจำนวนหนึ่ง หรือจำนวนเงินทุนที่มากพอที่จะสร้างผลกำไรที่สูงได้ตามสัดส่วนของเงินที่ลงทุนไปเท่านั้น เพราะทางกองทุนอสังหาริมทรัพย์จะเป็นผู้รวบรวมเงินที่ได้จากการซื้อหุ้นของนักลงทุนที่สนใจซื้อหุ้นเข้ามา แล้วระดมเงินนั้นไปก่อประโยชน์ในการดำเนินการทางธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่จะเป็นการสร้างผลกำไรให้เกิดขึ้นมา จากการบริหารงานของคณะกรรมการในกองทุนที่มีผู้เชี่ยวชาญ และความรู้ความสามารถในการบริหารจัดการต่าง ๆ ในด้านอสังหาริมทรัพย์อย่างมืออาชีพแน่นอน จึงทำให้ผู้ลงทุนที่ซื้อหุ้นไปนั้น มั่นใจได้ และคอยรอรับเงินจากผลกำไรตามสัดส่วนที่ลงทุนไปที่เรียกว่า เงินปันผล ก็พอ สำหรับกองทุนอสังหาริมทรัพย์ก็มีอย่างหลากหลาย ให้นักลงทุนมองหาตามความต้องการได้สบาย เช่น กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์สิทธิการเช่า , กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ทั่วไปแบบต่าง ๆ และในปัจจุบันมีการสำรวจพบว่าผลตอบแทนของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ ๆ นั้น ให้ผลตอบแทนในอัตราเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 6-10% แต่ทั้งนี้การลงทุนทุกประเภทล้วนมีความเสี่ยงไม่มากก็น้อย จึงควรศึกษารายละเอียดที่เกี่ยวข้องก่อนการลงทุน และดูแนวโน้มของเศษรฐกิจที่จะมีผลกระทบต่อกองทุนอสังหาริมทรัพย์ด้วย

 

 

4) การลงทุนกับอสังหาริมทรัพย์ด้วยวิธีการลงทุนแบบเป็นผู้ประกอบกิจการ
การลงทุนกับอสังหาริมทรัพย์อีกอย่างหนึ่งที่พบเห็นได้จาก แบรนด์อสังหาริมทรัพย์ต่าง ๆ ก็คือ การเป็นผู้ประกอบการด้านอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งแบรนด์ต่าง ๆ ที่ทุกคนรู้จักมีมากมาย หากเป็นด้านที่อยู่อาศัย เช่น AP, แสนสิริ, พฤกษา เรียลเอสเตท หากเป็นหากด้านโรงแรม เช่น โรงแรมแมนดาริน เครือโนโวเทล เครือโซฟิเทล หากเป็นด้านห้างสรรพสินค้า เช่น เซ็นทรัล เดอะมอลล์ เป็นต้น ซึ่งกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ทั้งหลายเหล่านี้ล้วนเป็นกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่มีกลุ่มคนเป็นเจ้าของ หรือที่เรียกว่าเป็นผู้ประกอบการ ซึ่งแน่นอนว่าเจ้าของเหล่านี้ล้วนเป็นมหาเศรษฐีในประเทศที่ทุกคนรู้จัก จึงเป็นการแสดงให้เห็นว่าการได้เป็นเจ้าของกิจการที่เป็นผู้ประกอบการ ที่มีการลงทุนกับอสังหาริมทรัพย์นั้นสามารถสร้างความร่ำรวยให้แก่ผู้ที่ลงทุนได้มากขนาดไหน ปัจจัยหลักที่ทำให้การลงทุนทีผู้ประกอบการทั้งหลายร่ำรวย ก็เพราะว่าอสังหาริมทรัพย์นั้น ถือเป็น 1 ใน 4 ของปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญของมนุษย์ เพราะทุกคนต้องมีที่อยู่ และได้ใช้ประโยชน์ ใช้ชีวิตเกี่ยวข้อง กับอสังหาริมทรัพย์ทั้งสิ้น ดังนั้นหากนักลงทุนมีกำลังเงินมากพอที่จะเป็นผู้ประกอบการเองก็จะเป็นการสร้างโอกาสให้ตัวเอง ได้เติบโตในเส้นทางธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และจะประสบความสำเร็จหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับ จำนวนเงินที่สามารถลงทุน ความรู้ ทักษะในการเชิงธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องประกอบไปด้วยไหวพริบอย่างดีเยี่ยมอีกด้วย เพราะผู้ประกอบการจะต้องมีหลักการ และองค์ความรู้ในการดำเนินธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องบริหารให้อยู่รอด รู้จักความเสี่ยง และวิธีแก้ไขต่าง ๆ และปัจจัยอื่นใดที่เกี่ยวข้องในวงการอสังหาริมทรัพย์ รู้ทำเลที่ตั้ง และอุปสงค์อุปทานของตลาดอสังหาริมทรัพย์ได้อย่างเชี่ยวชาญ และจากผลการสำรวจอัตรารายได้ของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จะให้ผลตอบแทนที่สูงกว่า 80-100% โดยประมาณ แต่ตัวเลขนี้ เป็นตัวเลขสำหรับโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่สร้างขึ้นมา และมียอดขายที่ประสบความสำเร็จ จึงทำให้เป็นอีกปัจจัยหนึ่งสำหรับการดึงดูดนักลงทุนที่ต้องการจะเป็นผู้ประกอบการด้านอสังหาริมทรัพย์เอง เพื่อให้ได้มาซึ่งผลตอบแทนอย่างมหาศาลขนาดนี้ เรียกว่า ได้กำไรเกือบเท่าตัวเลยทีเดียว

 

5) การลงทุนกับอสังหาริมทรัพย์ด้วยวิธีการปรับปรุงซ่อมแซมแล้วขาย เพื่อเป็นการเพิ่มมูลค่าก่อนขาย
การลงทุนอีกแบบหนึ่ง สำหรับการลงทุนกับอสังหาริมทรัพย์ ก็คือ การซ่อมแซม ตกแต่ง ที่อยู่อาศัยเพื่อให้ทรัพย์สินดูดี มีความสวยงาม และเป็นการเพิ่มมูลค่าทรัพย์สินที่เป็นอสังหาริมทรัพย์ก่อนมีการขาย ซึ่งการลงทุนแบบนี้จะเป็นช่องทางอีกหนึ่งทางที่จะสร้างรายได้ที่ดีงามมาก ๆ แก่นักลงทุน ซึ่งนักลงทุนอาจจะไม่ต้องถึงขนาดเป็นผู้ประกอบกิจการรายใหญ่ หรือเป็นบริษัท อาจจะเป็นเพียงบุคคลธรรมดาก็ได้ เพียงแค่มีจำนวนเงินที่จะเป็นทุนในการเลือกซื้ออสังหาริมทรัพย์ ที่พิจารณาอย่างดีแล้วว่าเหมาะสมกับกับการนำมาปรับปรุงซ่อมแซมทำให้ดีมากขึ้นสวยงามน่าอยู่กว่าตอนที่ซื้อมา ซึ่งแน่นอนว่านักลงทุนด้วยวิธีการนี้ นอกจากจะดูทำเลที่ตั้ง และความเหมาะสมแล้ว สิ่งสำคัญก็คือ ราคาที่ซื้อมาจะต้องไม่สูงเกินไปสำหรับการขายต่อ หรือได้ทรัพย์มาในราคาที่ถูกที่สุด ซึ่งการจะหาทรัพย์ราคาไม่สูงก็มีหลายช่องทาง เช่น การประมูลจากกรมบังคับคดี หรือจากผู้ที่ต้องการขายอย่างเร่งด่วน และเมื่อต้นทุนจากการซื้อมา รวมกับการปรับปรุงซ่อมแซม สร้างความสวยงามให้อย่างดีแบบพร้อมเข้ามาอยู่ที่เป็นต้นทุนอีกส่วนหนึ่งแล้ว นักลงทุนก็จะสามารถกำหนดเพิ่มส่วนที่เรียกว่ากำไรขึ้นมาตามที่ต้องการ หรือตามหลักการประเมินราคาขายตามลักษณะของประเภทอสังหาริมทรัพย์นั้น ซึ่งการใช้ทักษาะดังกล่าว นักลงทุนจะต้องมีความรู้ และประสบการณ์ที่มากพอในระดับหนึ่งที่จะสามารถทำการลงทุนกับอสังหาริมทรัพย์ด้วยวิธีการปรับปรุงซ่อมแซมแล้วขาย เพื่อสร้างกำไรส่วนต่างได้อย่างงงามเลยทีเดียว และที่สำคัญสำหรับการลงทุนกับอสังหาริมทรัพย์วิธีนี้ ก็คือ นักลงทุนจะต้องตรวจสอบการได้มาของทรัพย์สินนั้นอย่างถูกต้อง และครบถ้วนตามกฎหมายเพื่อไม่ให้มีปัญหาเรื่องการได้มาซึ่งสิทธิ์ในภายหลัง และต้องตรวจสอบว่าทรัพย์สินก่อนซื้อมาว่าอยู่ในสภาพดี สามารถซ่อมแซมได้หรือไม่ และตรวจสอบหลังจากการปรับปรุงแก้ไข ซ่อมแซม ตัวทรัพย์สินเสร็จแล้วว่า โครงสร้างอาคาร งานระบบต่าง ๆ นั้นไม่มีปัญหา เป็นที่เรียบร้อยก่อนการส่งมอบ หรือขายทอดต่อไป เพื่อความปลอดภัยสำหรับผู้ที่ซื้อตามกำหนดระยะเวลาที่สมควร เพียงเท่านี้ นักลงทุนก็จะเป็นนักลงทุนมืออาชีพ และร่ำรวย อย่างไร้กังวล อย่างแน่นอน